บล็อกเกอร์ผู้สร้าง ต้องการให้รู้ถึงเรีองศิลปะของ abstract

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

Original Abstract Art


Original abstract art paintings by Osnat - abstract blooming trees landscape

Original abstract art paintings by Osnat Tzadok




Original abstract art paintings by Osnat Tzadok



Original abstract art paintings by Osnat Tzadok



Original abstract art paintings by Osnat Tzadok



Original abstract art paintings by Osnat Tzadok



Original abstract art paintings by Osnat Tzadok



Original abstract art paintings by Osnat Tzadok



Original abstract art paintings by Osnat Tzadok

Abstract Art Landscape Tree Painting Brilliance In The Sky Madart

Abstract Art Landscape Tree Painting Brilliance In The Sky Madart

Abstract Art Landscape Tree Painting Brilliance In The Sky Madart Painting  - Abstract Art Landscape Tree Painting Brilliance In The Sky Madart Fine Art Print

Abstract Artist Gallery

  • Michael G Teevan
  • Jan Corcoran
  • Allison Iris
  • Susie Gadea
  • Teun van der Zalm

การวาดภาพของ Jackson Pollock






Jackson Pollock :: ศิลปิน....ชีวิตนอกกรอบ

Jackson Pollock :: ศิลปิน....ชีวิตนอกกรอบ (และมาวาดรูปแบบ Jackson Pollock กัน)


พอ ลล็อคเกิดที่รัฐไวโอมิ่ง เมื่อปี 1912 เรียนศิลปะที่ Manual Arts High School ในลอสแองเจลิส ก่อนศึกษาต่อที่สถาบัน Art Students League ในนิวยอร์ค ตลอดชีวิตพอลล็อคพบแต่ความผิดหวัง เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ไวต่อความรู้สึกมาก โดยเฉพาะต่อคำพูดวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของเขา เช่นครั้งหนึ่ง จิม สวีนีย์ แสดงความเห็นไว้ในบทความว่าพอลล็อคเป็นคนไม่มีหลักเกณฑ์ พอลล็อคโมโหมาก จึงลงมือเขียนภาพ Search for a Symbol แล้วหิ้วภาพนี้ไปพบสวีนีย์ พร้อมกับพูดว่า “ผมต้องการให้คุณเห็นว่า ภาพที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์เป็นอย่างไร” (ชะวัชชัย ภาติณธุ, ศิลปะศิลปิน หรือศิลปินศิลปะ, โอเดียนสโตร์ 2532, น.78-79)
เพราะ นิสัยส่วนตัวเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้พอลล็อคลงมือทำงานอย่างจริงจังเพื่อแสดงตัวตนและลบคำสบประมาท จนเขาได้รับการยกย่องยอมรับว่าเป็นผู้นำขบวนการเขียนภาพแนวเอ็กเพรสชั่นนิสม์นามธรรม (abstract-expressionism) พร้อมกับเป็นต้นแบบสไตล์การเขียนภาพที่เรียกว่า จิตร กรรมแอ๊คชั่น (action painting) ด้วยการสาด เท หยด สลัดสีลงบนผ้าใบขนาดใหญ่ แสดงถึงความเคลื่อนไหวว่องไวและมีพลัง กระทั่งนิตยสารไทม์ให้สมญานามเขาว่า “แจ๊ค เดอะ ดริปเปอร์” (Jack the Dripper)
เรื่อง ราวของพอลล็อคเคยถูกสร้างเป็นหนังสารคดี 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ Jackson Pollock (1987) โดยผู้กำกับ คิม อีแวนส์ อีกเรื่องหนึ่งชื่อ Jackson Pollock : Love and Death on Long Island (1999) โดย เทเรซ่า กริฟฟิธส์ เป็นประวัติชีวิตและผลงาน รวมทั้งภาพการทำงานของพอลล็อค นอกจากนี้ยังมีบทสัมภาษณ์ ลี แครสเนอร์ เพื่อนๆ ศิลปินรุ่นหลัง รวมทั้งแฮร์ริส
สำหรับ Pollock หนังเริ่มต้นในปี 1941 เมื่อพอลล็อค (แฮร์ริส) ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ติดเหล้างอมแงม อาศัยอยู่กับ แซนดี้ (โรเบิร์ต นอตต์) พี่ชาย จนภรรยาของแซนดี้ไม่พอใจ ต้องพาแซนดี้และแม่ย้ายหนีไป จุดเปลี่ยนของชีวิตพอลล็อคคือการได้พบ ลี แครสเนอร์ (มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน) จิตรกรหญิงผู้เชื่อมั่นในความสามารถของพอลล็อค แครสเนอร์แต่งงานกับเขาโดยมีข้อตกลงว่าพอลล็อคต้องเลิกดื่มเหล้าและมุ่งมั่น สร้างงานศิลปะ

ด้วย การหนุนหลังของแครสเนอร์ ผลงานของพอลล็อคจึงไปเข้าตา เพ็กกี้ กุกเกนไฮม์ (เอมี่ เมดิแกน) เจ้าของแกลลอรี่ใหญ่แห่งนิวยอร์ค ยอมจัดแสดงผลงานเดี่ยวให้พอลล็อค แม้จะขายภาพเขียนไม่ได้เลย แต่พอลล็อคก็เริ่มเป็นที่สนใจในวงการศิลปะ และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้ค้นพบวิธีการสร้างงานรูปแบบใหม่ เมื่อต้องไปวาดผนังบ้านพักของกุกเกนไฮม์เป็นค่าตอบแทนตามสัญญา
หลัง จากแต่งงานแล้ว พอลล็อคและแครสเนอร์ย้ายไปอยู่ที่ลอง ไอส์แลนด์ ชนบทอันสงบเงียบห่างไกลผู้คน ที่นี่เองที่พอลล็อคมีเวลาเต็มที่สำหรับทุ่มเทสร้างงานศิลปะ และพัฒนารูปแบบงานของเขาจนกลายเป็นสไตล์เฉพาะตัว เขาเริ่มมีชื่อเสียงเงินทอง มีกิจวัตรประจำวันที่เปลี่ยนไป แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับเหล่านี้กลับทำให้พอลล็อครู้สึกหวั่นไหว ที่สำคัญ...สิ่งที่เขาต้องการที่สุดแต่กลับไม่ได้คือลูก

ตลอด ชีวิตช่วงหลัง พอลล็อคจมอยู่กับการดื่มเหล้า อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว ไม่สนใจคนรอบข้างแม้กระทั่งแครสเนอร์ เขาหันไปคว้า รูธ (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่) หญิงสาวอ่อนวัยมาทดแทน กระทั่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ในปี 1956
จาก เนื้อหาจะเห็นได้ว่าตัวตนของพอลล็อคก็คล้ายกับศิลปินคนอื่นๆ ที่เราเคยพบเห็นบ่อยครั้งในหนัง เรียกว่าเป็นแบบฉบับของตัวละครที่เป็นศิลปินไม่ว่าจะเป็นตัวละครสมมติหรือมี ตัวตนจริงๆ ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนไหวในจิตใจ และการยึดมั่นถือมั่นในตัวเองทำให้เป็นทุกข์ จนนำพาชีวิตให้ตกต่ำซ้ำเติมชะตากรรมของตน พอลล็อคก็เช่นกัน เขาหันเข้ามาเหล้า ทำร้ายตนเองจนพบจุดจบในที่สุด
แต่ ไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายเช่นไร ศักยภาพในตัวศิลปินย่อมต้องแสดงออกมาเสมอ หนังได้จำลองภาพการทำงานของพอลล็อค ตั้งแต่การนั่งนิ่งจ้องมองความว่างเปล่าบนเฟรมภาพ ก่อนลงมือลงสีทั้งด้วยฝีแปรงและเทคนิคการเท สาด หรือสลัดสีอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดุจอารมณ์ภายในที่ระเบิดออกมา กระทั่งภาพเสร็จสมบูรณ์ด้วยความรู้สึกที่พอลล็อคเปรียบเทียบว่าเหมือนเสร็จ จากการร่วมรัก
พอลล็อคเคยเผยความรู้สึกของเขาถึงการสร้างงานศิลปะไว้เมื่อปี 1947 ว่า “บนพื้นห้อง ผมรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกถึงการเข้าไปใกล้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพเขียน เริ่มจากการเดินไปรอบๆ บนกรอบภาพ ลงสีจากทั้งสี่ด้าน กระทั่งไปอยู่ในภาพเขียนนั้นจริงๆ” ทุกครั้งที่พอลล็อค เขียนภาพจึงเหมือนกับว่าเขาได้ถอดเอาชีวิตจิตใจลงไปในภาพเขียน เป็นช่วงเวลาที่เขาสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้ ต่างจากหลายฉากชีวิตนอกเวลาทำงานที่ใจเขากระเจิดกระเจิงไปจนไร้การควบคุม
การ จำลองภาพการทำงานของพอลล็อคในหนังจึงช่วยเน้นย้ำให้เห็นว่าพอลล็อคมีชีวิต ชีวาแค่ไหนขณะอยู่ในกรอบภาพ และต่างจากชีวิตนอกกรอบภาพอย่างไร
ย้อน กลับไปที่คำถามของผู้เขียนเกี่ยวกับเหตุผลในการสร้างและการหาคุณค่าของหนัง แนวชีวประวัติศิลปิน เรารู้แล้วว่าแฮร์ริสสร้าง Pollock สืบเนื่องมาจากความฝังใจในอดีต ถือเป็นการแสดงความชื่นชมและยกย่องพอลล็อค แต่ในด้านคุณค่าของหนัง ถ้าเปรียบเทียบกับจิตรกรผู้มีชื่อเสียงทั้งรุ่นเก่าและร่วมสมัยหลายต่อหลาย คน สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจศิลปะโดยตรงแล้ว คงไม่ได้นึกถึงชื่อพอลล็อคเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน
“คุณค่า” ของหนังแนวชีวประวัติอย่าง Pollock จึงไม่ใช่การสะท้อนภาพของศิลปินซึ่งเป็นที่สนใจของผู้ชมทั่วไป แต่เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงหรือแนะนำให้รู้จักเสียมากกว่า ซึ่งแฮร์ริสก็ทำในจุดนี้ได้ดี เพราะนอกจากผู้ชมจะได้รู้จักพอลล็อคแล้ว ยังได้เห็นวิธีการทำงานศิลปะซึ่งแปลกและแตกต่างจากศิลปินคนอื่นๆ
แต่ ถ้าดูเฉพาะเนื้อหา หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีความแปลกใหม่หรือแตกต่างจากหนังแนวชีวประวัติเรื่อง อื่นๆ ยังไม่ต้องพูดถึงการมองคุณค่าจากมุมกว้างผ่านชีวิตของพอลล็อค ยกตัวอย่างเช่นนิวยอร์คยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือแวดวงศิลปะในยุคนั้น เพราะยากที่จะเห็นอะไรชัดเจนจากหนังที่ให้ตัวละครเป็นตัวดำเนินเรื่องใน ลักษณะเป็น “ผู้กระทำ” ตลอดเวลาเช่นเรื่องนี้
ดัง นั้น คนที่ได้รับประโยชน์หรือคุณค่าจากหนังไปเต็มๆ จึงเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ผลักดันสร้าง Pollock มาตลอดอย่างแฮร์ริส เพราะนอกจากจะเป็นการยกย่องศิลปินที่เขาชื่นชมแล้ว การที่แฮร์ริสสวมบทเป็นพอลล็อคเสียเอง ยังเป็นการสนับสนุนความเห็นของพ่อของเขาที่ว่าแฮร์ริสเหมือนพอลล็อคมาก ไม่เพียงการแสดงเป็นพอลล็อคในหนังของตนเองเท่านั้น แฮร์ริสยังจำลองฉากบางฉากในหนังปี 1951 ของ ฮันส์ นามุท ที่บันทึกภาพการทำงานของพอลล็อคมาใส่ไว้ในหนัง โดยมีเขาเป็นผู้สวมทับท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน แทนการยกฟุตเตจจากหนังเรื่องดังกล่าวมาใส่ไว้เลยเพื่อความสมจริง
เห็น ได้ว่าศิลปินที่เป็นตัวละครในหนังลักษณะนี้เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงเป็นที่ รู้จักในวงกว้าง ดังนั้น คุณค่าของหนังจึงอยู่ที่การสะท้อนภาพชีวิตของศิลปินซึ่งเป็นที่สนใจอยู่แล้ว นั่นเอง ขณะที่บางเรื่องได้เพิ่มคุณค่าขึ้นด้วยการชูหรือแฝงประเด็นทางสังคม วัฒนธรรม หรือการเมือง เช่น Quills (2000) เรื่องของ มาร์กีส์ เดอ ซาด ที่ชูประเด็นอิสรภาพทางความคิดและการกระทำ และ Before Night Falls (2000) โศกนาฏกรรมของ เรนัลโด้ อารีนาส กวีเกย์ชาวคิวบาซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมของหนังชีวประวัติศิลปินจะพบว่าต่างมีจุดร่วมสำคัญ คือศิลปินซึ่งเป็นตัวละครเอกล้วนแต่มีบุคลิกแปลกแยก เปลี่ยวเหงา จิตใจอ่อนไหว และประพฤติตนโดยไม่แยแสกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานใดๆ จนคนอื่น(รวมทั้งผู้ชม) ไม่อาจเข้าใจได้แน่ชัด.....

ถ้า จำไม่ผิดสายลมฯ ได้ดูภาพยนต์เรืองนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งถูกนำมาฉายโดยยูบีซี การดำเนินเรืองออกจะน่าเบื่อและเชื่องช้า ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการดำรงชีวิตและอารมณ์ของศิลปินทั่ว ๆ ไป ที่ไม่สามารถจัดการกับชื่อเสียง ความโด่งดัง และความร่ำรวยที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วได้
แต่ ก็ไม่รู้ทำไมสายลมฯ กลับดูภาพยนต์ได้จนจบ และจดจำมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้จำเพราะชื่อเรืองที่เป็นจิตกร แต่จดจำเนื้อเรืองต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จนมาวันนี้ได้เข้ามาท่องในโลกไร้พรมแดนและได้เจอกับเรืองนี้อีกครั้ง จึงได้รู้ว่าเรืองที่เราประทับใจและจดจำมาได้จนทุกวันนี้ คือ เรื่อง Jackson Pollock : Love and Death และยิ่งประทับใจมากขึ้น เมื่อรู้ว่ามันคือ ภาพยนต์ที่สร้างขึ้นอิงจากชีวประวัติของจิตรกรชื่อก้อง (ชอบภาพยนต์อิงชีวะประวัติมากค่ะ)
ประทับใจจนต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง และนำเอาเวป ที่ใช้สำหรับการฝึกวาด หรือทดรองวาดภาพแบบ Jackson Pollock มาให้ทุกคนทดลองตวัดพู่กันกัน เพื่อระลึกถึงวันนี้ วันของ Jackson Pollock  ขอให้สนุกสนานกับงานศิลปแบบคุณนะค่ะ
ภาพ จิตรกรรมที่แพงที่สุดของโลกเป็นภาพแนวอเมริกันแอบสแตรคเอกซ์เพรสชันนิสม์ ชื่อว่า No. 5,1948 วาดโดยJackson Pollock ที่เดวิด มาร์ติเนซซื้อไปในราคา 140 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นราคาที่ประเมินไว้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2006
และผลงานเลื่องชื่ออื่น ๆ

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556


10 สูตรวิธีรักษาสิวและทำให้หน้าใส ด้วยขมิ้นชันสำหรับใครที่กำลังมองหาสูตร วิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติ หรือวิธีทำให้หน้าใสแบบธรรมชาติ…อย่าได้พลาดค่ะ วันนี้เราได้รวบรวมสูตรวิธีมากมายเกี่ยวกับการรักษาสิวด้วยขมิ้น รวมถึงสูตรหน้าใสด้วยขมิ้นมาฝากค่ะ ซึ่งเป็นสูตร เป็นภูมิปัญญาของคนสมัยแต่ก่อน สำหรับสาวๆ แล้วการใช้ขมิ้นทาผิวหน้าจะทำให้ผิวหน้านุ่มนวล คนมาเลเซียและคนไทยสมัยก่อนจะใช้ขมิ้นในการอาบน้ำ ทำให้ผิวผ่องยิ่งขึ้น วิธีการอาบน้ำด้วยขมิ้นนั้น จะทาขมิ้นหมักไว้ที่ผิวหนังสักพัก แล้วจึงขัดออกด้วยส้มมะขามเปียก นอกจากทำให้ผิวหนังนุ่มนวลแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ผู้หญิงอินเดียจึงใช้ขมิ้นทาผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก คนพม่าเชื่อว่าถ้าใช้ขมิ้นผสมสมุนไพร ที่ชื่อทาคาน่า ทาผิวเด็กสาวตั้งแต่ยังเล็กๆ จะทำให้เนื้อผิวละเอียดสวย



มารู้จัก ”ขมิ้น” กันเถอะ
“ขมิ้นชัน” เป็นพืชสมุนไพร และประโยชน์ของขมิ้นชันกับผิวนั้นไม่ได้แค่ต่อต้านหรือลดการอักเสบหรือ
รักษาสิวเท่านั้น แต่ยังใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัวเพื่อให้มีสีผิวกระจ่างขึ้นด้วยเมื่อใช้เป็นประจำและช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดยังช่วยบำรุงให้สีผิวกระจ่างขึ้นด้วยเมื่อใช้เป็นประจำ ขมิ้นชันได้รับการยอมรับว่าช่วยลดการอักเสบและลดการระคายเคืองเมื่อนำมาใช้กับผิว อย่างที่รู้กันว่าสิวนั้นเกิดจากแบคทีเรีย P.acne ที่ทำให้เกิดการอักเสบหรือบวมแดงที่เราเห็น ซึ่งก็ได้มีการวิจัยว่าขมิ้นชันสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ได้และสามารถผสมใช้ร่วมกับNeem oil, Tea Tree oil เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ยังมีการวิจัยอื่นที่บอกอีกว่าขมิ้นชันช่วยปรับสภาพผิวเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่มีการผสมขมิ้นชันในเครื่องสำอางที่ขายตามท้องตลาดมากมาย

สูตรวิธีรักษาสิวและทำให้หน้าใส 

1 สูตรขมิ้นสด + ดินสอพอง + น้ำมะนาว
สูตรนี้ช่วยบำรุง: ผิวหน้าให้ผุดผ่องสดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว

ส่วนผสม

ขมิ้นสด (เล็กน้อย)
ดินสอพอง 2-3 เม็ด
มะนาว 1 ผล

วิธีทำ

นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาว จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียวใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้มะนาว จะทำให้ผิวนวลเนียนขึ้นสามารถสัมผัสได้ และเมื่อผสมรวมกันกับผักแว่น ก็จะยิ่งทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

2 สูตรดินสอพองผสมน้ำมะนาว หรือน้ำมะขามเปียก

สูตรนี้ช่วยบำรุง: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวมัน รูขุมขนกว้าง และมีสิวเสี้ยน สูตรนี้สามารถเปลี่ยนจากน้ำมะนาวมาเป็นน้ำมะขามเปียกก็ได้ค่ะ

ผลที่ได้ : จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มขึ้น รูขุมขนกระชับ และความมันลดลง ให้ผลเร็ว 1-3 วันเห็นผลแน่นอน สิวแห้ง ยุบลง

ส่วนผสม 

ดินสอพองสะตุ 3 - 4 เม็ดใหญ่
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา

วิธีทำ

นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดด้วยภาชนะที่สะอาด ผสมน้ำมะนาวลงไป คนให้เข้ากัน (มันจะกลายเป็นครีมข้นๆ)

ดินสอพองจะพองตัวขึ้นและมีฟองอากาศ นั่นเพราะดินสอพองกำลังทำปฏิกิริยากับกรดในน้ำมะนาวนั่นเอง

จากนั้นทาครีมดินสอพองจนทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา หรือจะแต้มเฉพาะตรงที่หัวสิวก็ได้ค่ะ ทิ้งไว้ 15 - 20 นาทีหรือจะทาก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้าก็ได้

วิธีล้าง

ให้ล้างด้วยน้ำอุ่น แล้วใช้ผ้าเช็ดเบา ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน

จากนั้นล้างอีกครั้งด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน

ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง







3 สูตรผงขมิ้นผสมกับน้ำมะนาว

สูตรนี้ช่วยบำรุง: ก็เป็นอีกสูตรที่ใช้กันเยอะ โดยเฉพาะคนที่เป็นสิวเยอะมากบนใบหน้า พอลองใช้สูตรนี้แล้วพบว่า ช่วยลดอาการบวมแดงจากสิว สิวยุบเร็ว สิวและรอยสิวลดลง และหน้าเนียนขึ้นด้วย




วิธีทำ

ผสมผงขมิ้นชันกับน้ำมะนาว หรือถ้าอยากให้ข้นสามารถผสมกับน้ำมันต่างๆได้และแต้มที่สิวก่อนนอน หรือจะพอกทั่วทั้งใบหน้าก็ได้ ถ้าหากคุณเป็นสิวบนใบหน้าเยอะมาก โดยไม่ต้องล้างออก ทิ้งไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง หรือจนคุณทนไม่ได้เพราะเมื่อพอกแล้วมันจะรู้สึกแสบหน้าค่ะ แต่ถ้าทิ้งข้ามคืนได้จะดีมากกกค่ะ







4 สูตรผงขมิ้นผสมกับน้ำนม หรือน้ำผึ้ง

สูตรนี้ช่วยบำรุง: ช่วยให้สิวยุบเร็วและช่วยบำรุงผิวหน้าให้ผุดผ่องสดใสอ่อนวัย

ผลที่ได้ : ช่วยให้สิ้วเสี้ยนหลุด สมานผิวและรูขุมขนกระชับขึ้น ช่วยรักษาแผลที่เกิดจากสิวอักเสบ ไม่ให้เกิดเป็นแผลเป็น ทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม




วิธีทำ





ครีมขัดและพอกหน้า นำขมิ้นผงผสมกับน้ำนม หรือน้ำผึ้ง จากนั้นล้างหน้า ให้สะอาดแล้วนำขมิ้นที่เตรียมไว้ขัดใบหน้าเบา ๆ จนทั่วพอกไว้อย่างนั้นประมาณ 5 นาที ล้างออกได้ด้วยน้ำอุ่น ๆ




หรืออีกวิธี คือ ใช้เหง้าขมิ้นสดมาหั่นบาง ๆ แล้วตากแห้ง นำมาบดเป็นผงให้ละเอียดผสมกับน้ำนมทาตัวเอาไว้ก่อนจะอาบน้ำทิ้งไว้ 10 - 20 นาที เป็นอย่างน้อย แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือตามด้วยการอาบน้ำชำระร่างกาย ผลที่ได้รับคือ ช่วยให้ผิวนุ่มนวลเนียน แก้โรคผดผื่นคัน หรือจุดด่างดำบนร่างกายให้หายไป


5 สูตรขมิ้นชันสด

สูตรนี้ช่วยบำรุง: สำหรับคนที่ใช้ขมิ้นผงแล้วแพ้ เปลี่ยนมาใช้แบบสดดีกว่าค่ะ (เพราะเคยมีคนที่เกิดอาการแพ้ขมิ้นผง พอเปลี่ยนมาใช้แบบสดก็สามารถใช้ได้ไม่เกิดอาการแพ้ค่ะ)

ผลที่ได้ : ผิวเนียนขึ้น สิวอุดตัน สิวอักเสบ หายหมดค่ะ




วิธีใช้

- นำขมิ้นชันสดมาปลอกเปลือก แล้วนำไปปั่นแล้วเอาไปใส่กระปุกแช่ตู้เย็นไว้ค่ะ พอครบ 1 อาทิตย์ ก็ทำใหม่ค่ะ

- ใช้คอตต้อนบัด จิ้มๆ น้ำแล้วนำมาทาหน้า ก่อนล้างหน้า 10-15 นาที

- ควรใช้ตอนเย็น เพราะหน้าจะเหลือง ต้องล้างประมาณ 2 ครั้งถึงจะออกค่ะ


6 สูตรน้ำผึ้ง

“น้ำผึ้ง” มีสรรพคุณลดการอักเสบ และติดเชื้ออยู่ด้วย และเร่งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่น้ำผึ้งจึงใช้สมานบาดแผลชนิดต่างๆ

สูตรนี้ช่วยบำรุง: สูตรน้ำผึ้งนี้เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง แพ้ง่าย มะนาวอาจจะทำให้เกิดความระคายเคืองและแห้งมากขึ้น สูตรนี้จึงใช้น้ำผึ้งที่มีคุณสมบัติสมานผิวเข้ามาแทนที่ และยังเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยน้ำมันงา



ส่วนผสม


ดินสอพองสะตุ 3 - 4 เม็ดใหญ่

น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา

น้ำเปล่า 1/2 ช้อนชา

น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียด ผสมน้ำผึ้งและน้ำมันงา (หรือน้ำมันมะกอกก็ได้) คนให้เข้ากัน

น้ำมาพอกให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา

ทิ้งไว้ 15 - 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

หลังล้างหน้าจะมีความมันของน้ำมันงาหลงเหลืออยู่บ้าง

หากไม่ชอบให้ล้างด้วยน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น







7 สูตรน้ำนมขมิ้น

สูตรนี้ช่วยบำรุง: น้ำนมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น และบวกกับขมิ้นที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย แก้ผดผื่นคัน และบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งด้วย สูตรนี้เหมาะกับทุกสภาพผิว





ส่วนผสม

ดินสอพองสะตุ 4 - 5 เม็ดใหญ่

นมสด 2 ช้อนชา

น้ำขมิ้น 1 ช้อนชา

วิธีทำน้ำขมิ้น

นำหัวขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นแว่นแล้วตำจนแหลก

ผสมน้ำเล็กน้อย กรองเอาน้ำด้วยผ้าขาวบาง

วิธีทำ

บดดินสอพองสะตุจนละเอียด แล้วคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 15 - 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด







8 สูตรขมิ้นแห้ง 25 กรัม + ว่านนางคำ 200 กรัม + ไพล 50 กรัม + ดินสอพอง 1000 กรัม

ส่วนผสม

นำขมิ้นแห้ง 25 กรัม + ว่านนางคำ 200 กรัม + ไพล 50 กรัม + ดินสอพอง 1000 กรัม

วิธีทำ

นำมาบดผสมกัน ใช้พอกหน้า และตัวเพื่อบำรุงผิวได้ (ถ้าผิวมันใช้ผสมกับน้ำมะกรูดเผาไฟ ถ้าผิวแห้ง ใช้ผสมกับน้ำผึ้ง หรือ นมสด) ควรพอกประมาณ 5 - 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ตามด้วยน้ำเย็น สลับกัน







9 สูตรดินสอพอง ผสมกับขมิ้น

ขมิ้น มีสรรพคุณ ฆ่าเชื้อโรคอ่อน ๆ มันก็สามารถบรรเทาอาการสิวคุณได้


วิธีทำ

นำดินสอพองมาผสมกับผงขมิ้น คนให้เข้ากัน แล้วนำมาแต้มที่หัวสิว แต่ถ้าจะเอามาพอกหน้า ควร ลด ขมิ้นผงลง เพราะคุณอาจจะกลายเป็น ดีซ่านได้







10 ดินสอพอง ผสมกับไพล

ไพล เป็น ญาติกับ ขมิ้น แต่ไพล มีสีเหลืองนวล อ่อนกว่า ขมิ้น

มีสรรพคุณช่วย บำรุงผิว ลดอาการระคายเคือง วิธีทำ นำดินสอพองมาผสมกับไพล คนให้เข้ากัน แล้วนำมาแต้มที่หัวสิว



วิธีทำ

นำดินสอพองมาผสมกับไพล คนให้เข้ากัน แล้วนำมาแต้มที่หัวสิว หรือนำไปพอกหน้าก็ได้


หวังว่าบทความนี้ คงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย สำหรับผู้ที่กำลังประสบกับปัญหาสิว และมองหาวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติ

ภาพ Abstract 

    ของฝากผู้รักการถ่ายภาพในวันนี้ เป็นภาพ Abstract หรือ ภาพนามธรรม
หมายถึง ภาพที่เกิดจากจินตนาการของผู้ถ่ายภาพ แล้วแต่จะสร้างสรรค์ ตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เป็นภาพที่รู้ได้ด้วยใจ โดยถ่ายทำจากธรรมชาติหรือสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ เป็นต้นว่า ทิวทัศน์ ต้นไม้ ใบไม้ อาคาร วัสดุ แสงไฟ เป็นต้น โดยเน้นเส้นแสง สี รูปร่าง ที่สวยงามประทับใจ ภาพที่ได้จะแตกต่างจากภาพถ่ายปกติธรรมดา การจะถ่ายภาพประเภทนี้ ให้ได้ดี นอกจากจะขึ้นอยู่กับการศึกษา และ
ประสบการณ์ของผู้ถ่ายภาพแล้ว ยังขึ้นอยู่กับจินตนาการในการสร้างสรรค์ รวมตลอดถึง การ
ศึกษา ผลงานของนักถ่ายภาพชั้นแนวหน้าอีกด้วย